Breast Cancer

63591 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มะเร็งเต้านม

 รู้เร็ว รีบรักษา มีโอกาสหายสูง 

 

มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 37 ของมะเร็งทั้งหมด และยังมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปอด

ดังนั้นการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม และ การค้นพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรกในขณะที่ก้อนมีขนาดเล็ก และ ก้อนมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่เต้านม ยังไม่แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะช่วยให้มีโอกาสหายขาดมากขึ้น เมื่อเทียบกับการตรวจพบก้อนมะเร็งที่มีขนาดใหญ่ หรือ กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แล้ว

 

 

ปัจจัยเสี่ยง ระยะและสัญญาณเตือนภัยที่ควรรู้ ของมะเร็งเต้านม


จากข้อมูลระบาดวิทยาของมะเร็งเต้านม พบอุบัติการณ์มากอันดับแรกในหญิงไทยและหญิงทั่วโลก และสามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่ถึงจะฟังดูน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม ในทางการแพทย์ก็ได้ยืนยันแล้วว่า การตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ประสบผลสำเร็จได้ 

ดังนั้น การศึกษาทำความรู้จักมะเร็งเต้านมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้เรารู้เท่าทัน ตัดสินใจเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที


มะเร็งเต้านม คืออะไร
มะเร็งเต้านม เกิดจากอะไร

 

12 ปัจจัย ที่สัมพันธ์กับโอกาสในการเกิดมะเร็งเต้านม

สัญญาณเตือนมะเร็งเต้านม อาการเป็นอย่างไร
มะเร็งเต้านม มีกี่ระยะ อะไรบ้าง
แนวทางป้องกัน มะเร็งเต้านม
แพทย์มีแนวทางวินิจฉัยมะเร็งเต้านมอย่างไร


มะเร็งเต้านม คืออะไร

มะเร็งเต้านม คือ มะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในเต้านม โดยเฉพาะเซลล์ท่อน้ำนม โดยเซลล์จะเริ่มแบ่งตัวผิดปกติแล้วลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง จากนั้นหากปล่อยไว้ อาจแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่น ๆ ในร่างกายได้ ผ่านทางเดินน้ำเหลือง

ที่มา : สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย


มะเร็งเต้านมเกิดจากอะไร

มะเร็งเต้านม เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ท่อน้ำนม ซึ่งพบได้มากที่สุด ประมาณ 80% ส่วนมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต่อมน้ำนม จะพบได้น้อยกว่า โดยพบประมาณ 10%

นอกจากนี้ มะเร็งชนิดนี้อาจเกิดขึ้นจากการแพร่กระจายของมะเร็งมาจากอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน

 12 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับโอกาสในการเกิดมะเร็งเต้านม 

ในปัจจุบัน ยังคงมีการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตาม พบว่ามีหลายปัจจัยที่ยืนยันแล้วว่ามีความสัมพันธ์กับโอกาสเกิดมะเร็งเต้านม ทั้งในแง่บวก และ ในแง่ลบ ได้แก่

  • เพศ : เพศหญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้ชายถึง 100 เท่า 
  • เชื้อชาติ : ผู้หญิงในชาติตะวันตก จะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงเอเชีย
  • การมีบุตร และการให้นมบุตร : การศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่มีการคลอดบุตร เลี้ยงบุตรด้วยนมของตัวเอง จะช่วยป้องกันโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมได้ ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่ไม่มีบุตร เป็นหมัน กินยาคุมกำเนิด หรือไม่ได้เลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมตัวเองนั้น จะมีความโอกาสเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
  • ฮอร์โมนเพศ : ประจำเดือนมาตั้งแต่ตอนอายุน้อย ๆ หรือวัยหมดประจำเดือนมาถึงช้า ทำให้ร่างกายผู้หญิงมีโอกาสสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนนานขึ้น จึงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น
  • อายุ : เมื่อมีอายุมากขึ้น โอกาสเกิดความผิดปกติของยีนในเซลล์ก็จะเพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อการเกิดมะเร็งได้  จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 45 ปี มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมประมาณ 1 ใน 8 ในขณะที่ผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป มีโอกาสพบมะเร็งเต้านมประมาณ 2 ใน 3
  • ความอ้วน : โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น
  • หน้าอกแน่น (Dense Breasts) : การมีหน้าอกแน่น หมายถึงการมีเนื้อเยื่อและต่อมน้ำนมมากกว่าคนอื่น ๆ จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่า นอกจากนี้ โครงสร้างเนื้อเยื่อที่หนาแน่น ก็ทำให้แพทย์มองเห็นมะเร็งด้วยแมมโมแกรมได้ยากขึ้นด้วย
  • การพิสูจน์ว่าหน้าอกแน่น ไม่ได้เกิดจากการทดลองสัมผัสเต้านมดูว่ากระชับไหม คนที่มีหน้าอกกระชับ ไม่ได้แปลว่าจะมีหน้าอกแน่นเสมอไป ต้องเป็นการวินิจฉัยโดยแพทย์ผ่านการทำแมมโมแกรมดูโครงสร้างเนื้อเยื่อเท่านั้น
  • มีประวัติของโรค และ การรักษาเกี่ยวกับเต้านม : หากเคยมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับเต้านม หรือเคยได้รับการฉายรังสี ในบริเวณดังกล่าว จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งได้
  • พันธุกรรม : มีประวัติโรคมะเร็งเต้านมทางครอบครัว โดยเฉพาะหากญาติที่เป็นมะเร็งชนิดนี้เป็นญาติสายตรง จะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น เช่น แม่ น้องสาว หรือพี่สาว
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : ผู้หญิงกลุ่มที่ดื่มแอลกฮอล์เป็นประจำ จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ดื่ม
  • เป็นมะเร็งเต้านมข้างหนึ่งแล้ว : หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมข้างหนึ่ง จะมีความเสี่ยงถึง 3 – 4 เท่า ที่จะเกิดมะเร็งขึ้นที่เต้านมอีกข้างหนึ่ง
  • ควันบุหรี่ : การสูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่ (ควันบุหรี่มือสอง) มีส่วนเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านม

 สัญญาณเตือนมะเร็งเต้านม อาการเป็นอย่างไร 

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าเราอาจเป็นมะเร็งเต้านม สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง ได้แก่

  • คลำพบก้อนที่เต้านม หรือบริเวณรักแร้ หากเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็ง จับแล้วมักไม่รู้สึกเจ็บ จึงไม่ควรชะล่าใจ อย่าคิดเองว่าไม่รู้สึกเจ็บ แปลว่าไม่ใช่มะเร็ง
  • เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติต่าง ๆ ขึ้นที่เต้านมเพียงข้างเดียว
  • เต้านมโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากเป็นข้างใดข้างหนึ่ง
  • รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม โดยที่ไม่เคยผ่าตัดมาก่อน
  • มีการเปลี่ยนแปลงของผิวเต้านม เช่น ผิวหนังแข็งหรือหนาขึ้น มีก้อนเนื้อที่นูนขึ้นหรือขรุขระ มีสีผิวเปลี่ยนแปลงไป เกิดแผลเรื้อรัง (หรือแผลที่รักษาไม่หาย) หรือเป็นรอยรูขุมขนชัดขึ้นเหมือนเปลือกผิวส้ม
  • มีอาการเจ็บปวดเต้านมข้างหนึ่ง อาจเป็นเล็กน้อยหรือเป็นมากก็ได้
  • มีอาการบวมแดงตรงเต้านม อาจมีอาการปวดหรือมีแผลในบริเวณที่บวมแดงร่วมด้วย
  • มีรอยบุ๋มหรือย่นบริเวณเต้านม
  • มีอาการเน่าของหัวนม หรือส่วนอื่น ๆ บริเวณเต้านม
  • หัวนมบุ๋มเข้าไปในเต้านม หรือไม่สม่ำเสมอ โดยไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด หรือไม่ได้เกิดจากการผ่าตัด
  • มีเลือดและ/หรือของเหลว เช่น น้ำเหลืองใส ๆ ที่ผิดปกติไหลออกจากหัวนม หรือผู้หญิงที่ยังไม่มีเกณฑ์ให้นมบุตร แต่มีน้ำนมไหลออกมาผิดปกติ ก็ถือว่าเป็นอาการสัญญาณเตือนด้วยเช่นกัน
  • มีแผลที่บริเวณหัวนม มีลักษณะเป็นแผลสีแดง และมักจะรักษาไม่หาย



 มะเร็งเต้านม มีกี่ระยะ อะไรบ้าง 

แรกเริ่มนั้น มะเร็งเต้านม แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ถึงระยะที่ 4 ซึ่งผู้ป่วยส่วนมากมักพบโรคในช่วงอายุ 50-60 ปี โดยแตกต่างกันตามเชื้อชาติ สำหรับข้อมูลในประเทศไทยพบมากในช่วงอายุ 45-50 ปี โดยร้อยละ 80 เป็นมะเร็งในระยะแรก (ระยะที่ 1-3) ร้อยละ 10 เป็นมะเร็งในระยะกระจาย (ระยะที่ 4) แต่การตรวจคัดกรองที่มากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้พบมะเร็งเต้านมระยะแรกมากขึ้นในประเทศไทย

ในยุคนี้ผู้หญิงมีการตรวจเช็คมะเร็งเต้านมบ่อยขึ้นและตรวจเป็นประจำ จึงเพิ่มระยะที่ 0 เข้าไปด้วย รวมทั้งสิ้นคือ 5 ระยะ


 ระยะที่ 0  : เซลล์มะเร็งเพิ่งก่อตัว ยังอยู่ภายในเนื้อเยื่อ ณ จุดที่ก่อตัว และยังไม่แบ่งตัวลุกลามสู่ภายนอกพื้นที่


 ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มลุกลามออกมานอกเนื้อเยื่อตรงจุดที่ก่อตัว แต่ยังไม่แพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ มีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร


 ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งจะมีขนาดระหว่าง 2 – 5 เซนติเมตร (ไม่เกิน 5 เซนติเมตร) โดยจะยังไม่กระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้

แต่ถ้ามะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 เซนติเมตร อาจสามารถแพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ได้


 ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่มากกว่า 5 เซนติเมตรขึ้นไป แล้วอาจเริ่มแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้จนทั่ว


 ระยะที่ 4  : เป็นระยะที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด กระดูก ตับ สมอง เป็นต้น 
ในระยะแรก ๆ เซลล์มะเร็งพึ่งจะก่อตัวขึ้น ยังไม่ทันลุกลามออกไปจากจุดที่ก่อตัว จึงยังสามารถรักษาได้ง่าย และโอกาสหายขาดสูงมาก


 แนวทางป้องกัน มะเร็งเต้านม 

มะเร็งเต้านมในระยะแรกเริ่มไม่มีอาการ การตรวจร่างกายอาจยังตรวจไม่พบ เนื่องจากรอยโรคเล็กมากจึงเปรียบเสมือน “มฤตยูเงียบ” การตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคลำเต้านมอย่างถูกวิธี ไปจนถึงการเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรม (Mammogram) และอัลตราซาวด์ (Ultrasound)  จึงมีความสำคัญ





  อาการของผู้ที่เริ่มเป็นมากและมีการแพร่กระจายของมะเร็งจะมีอาการ ดังนี้  

  • ปวดกระดูก
  • น้ำหนักลด
  • แผลที่ผิวหนัง
  • แขนบวม

  วิธีการตรวจ มะเร็งเต้านม มีหลายวิธี ได้แก่  

  • การตรวจเต้านมด้วยแมมโมแกรม เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในผู้หญิงทั่วไป
  • การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือพยาบาล
  • การตรวจเต้านมด้วยตนเอง

 

  การป้องกัน  

แม้สาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่การปฏิบัติตัวที่ดีจะช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งเต้านม ได้แก่

  • เลือกรับประทานอาหาร เน้นผักหรือผลไม้
  • ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ และอ้วน
  • ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที
  • งดสูบบุหรี่
  • งดดื่มแอลกอฮอล์

 

  วิธีการรักษา  

  • การผ่าตัด (Surgery)
  • รังสีรักษาบำบัด (Radiation Therapy)
  • ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
  • ฮอร์โมนบำบัด (Hormonal Therapy)
  • การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care)

 

 
 
ถ้าคุณกำลังป่วยเป็นมะเร็ง   
   กำลัง หมดหวัง ท้อแท้    
เปิดใจ ชมคลิปนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษามะเร็ง 
ทางเลือกใหม่.....ของการรักษามะเร็ง
ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง....... ไม่ให้ลุกลาม
เป็นการรักษามะเร็ง ด้วยวิธี ปลอดภัย
 
 
 
 
ไขข้อข้องใจ
สารสกัดเซซามิน......จากงาดำ เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง
 
 

 

 

หมอที่เก่งที่สุดในโลก คือ ร่างกายมนุษย์
หมอที่เก่งที่สุดในร่างกายมนุษย์ คือ "ภูมิคุ้มกัน"

สรุป สารสกัดเซซามิน (Sesamin)  
  เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง

 

  1. เซลล์มะเร็ง คือเซลล์ที่อยู่ในร่างกายเรา ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เซลล์มะเร็ง มีการกระจายตัว มันสามารถส่งสารไปกระตุ้นให้เส้นเลือดงอกเส้นเลือดมาที่ตัวก้อนมะเร็ง แล้วส่งอาหาร จากทางเส้นเลือดเพื่อไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง จากการศึกษา ในหลอดทดลองจากห้องแลป เซซามินไปปิดกั้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ ที่จะไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่ได้รับอาหาร
  2. เซซามิน (Sesamin) ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง IL2 ( ซึ่งสาร IL2 ตัวนี้ สหรัฐอเมริกายอมรับว่าเป็นสารที่สามารถไปยับยั้งเซลล์มะเร็ง) ซึ่งสาร IL2 นี้แหละที่จะทำให้เม็ดเลือดขาวหรือภูมิคุ้มกันของเราทำงานได้ดีขึ้น และไปจัดการกับเซลล์มะเร็ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไปกระตุ้นบนผิวเซลล์ แล้วส่งสัญญาณเข้าไปภายในเซลล์มะเร็ง มันถูกยับยั้งโดยสารเซซามิน เป็นการอธิบายถึงกลไกภายในเซลล์วิจัยถึงระดับโมเลกุล
  3. เซซามิน (Sesamin) ยังไปทำให้เซลล์มะเร็งตาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายถูกโปรแกรมมาให้เกิดขึ้นและ มีอายุ แล้วก็จะตายไป ยกเว้นเซลล์มะเร็ง ที่มันสามารถ มีอายุและเจริญเติบโตขยายตัวได้โดยไม่มีการตายหรือไม่เข้าสู่ Program Cell Dead เซซามิน สามารถไปแก้โปรแกรมให้เซลล์มะเร็ง เข้าสู่ Program Cell Death หรือฆ่าตัวตาย

 

 
เป็นมะเร็งอาจดูน่ากลัว
เมื่อเป็นแล้ว อาจเสียชีวิตได้
 

วันนี้!!! ป้องกันได้ ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ แต่วันนี้วิทยาการทางการแพทย์มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง มีการใช้สารสกัดจากอาหารนำมาทานเพื่อดูแลฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกาย แต่ให้ประสิทธิผลดีกว่ายา

ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นคว้ามากว่า 20 ปี จนกระทั่งคิดค้นสารสกัดเซซามิน ที่สามารถฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายได้ เป็นครั้งแรกของโลก
 


 นักวิจัยไทย ค้นพบ
สารเซซามินในงาดำ ครั้งแรกของโลก
 
  1.  

    ข่าวการค้นพบสารเซซามินจากงาดำ เป็นผลงานวิจัยของ ม.เชียงใหม่  การค้นพบในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ถือว่าเป็นการพัฒนาไปอีกก้าวของวงการแพทย์ไทย และที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกของโลก ที่พบว่าสารเซซามิน (Sesamin) ที่พบนั้นจะไปยั้บยั้งการฟื้นฟูเซลล์จากการถูกทำลาย หรือพูดง่ายๆ ว่า มีโอกาสที่จะใช้ในการยับยั้งมะเร็งได้ด้วย


    สารสกัด...เซซามิน  เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง   
    คลิ๊ก.....ชมคลิปนี้ !!!

     

     

    สุดยอดงานวิจัยไทย...
    ค้นพบ 4 คุณสมบัติสำคัญ
    เซซามิน สารสกัดจากงาดำ

      

     

    ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ นักวิจัย ม.เชียงใหม่
    ค้นพบ "สารสกัดเซซามิน (Sesamin)"
    จากงาดำ....ทำลายเซลล์มะเร็ง

     

    คณะนักวิจัยที่ค้นพบสรรพคุณ ของสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ในเมล็ดงาเมล็ดเล็กๆ นี้นำทีมโดย ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตของท่านอยู่ในห้องทดลอง เพื่อค้นคว้าหาหนทางใหม่ๆ มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

     

     

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการอักเสบ

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดทั้งการสังเคราะห์และลดการดูดซึมสารโคเรสเตอรอล

    สารเซซามิน (Sesamin) ทำให้มะเร็งบางชนิดเข้าสู่ขบวนการทางชีวเคมีที่ทำให้เซลล์ตาย

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการลุกลามของมะเร็งบางชนิดได้

    สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นให้ร่างกายสร้างสาร IL2 และ IFN-Gramma จากเม็ดเลือดขาว

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยดูแลเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือด

    สารเซซามิน (Sesamin) ทำหน้าที่ช่วยเผาผลาญกรดไขมัน

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยทำให้ วิตตามิน E ทำงานได้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดอาการปวด และอักเสบบริเวณต่างๆ ของร่างกาย

    สารเซซามิน (Sesamin) ลดการเสื่อมสลายของข้อกระดูก และกระดูกอ่อน

    สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก

    สารเซซามิน (Sesamin) ยับยั้งการดูดซึมและสังเคราะห์โคเลสเตอรอลภายในร่างกาย

    สารเซซามิน (Sesamin) มีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต

    สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยในการกำจัดสารพิษของตับ

    สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

    สารเซซามิน (Sesamin) มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามินอีให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ที่ได้ทำการศึกษาที่หน่วยวิจัยมที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด
    (Thailand Excellence Center for Tissue Engineering and Stem Cells) พบว่า

     

    1. สารสกัดเซซามิน สามารถยับยั้งการทำงานของสารสื่ออักเสบ ชนิด IL-1 Beta ได้ โดยการศึกษา ได้ทำการวิจัยในเซลล์กระดูกอ่อนที่ถูกกระตุ้นด้วย IL-1 Beta และ เซซามิน (Sesamin) จากนั้นทำการศึกษาระดับโมเลกุล และพบว่า สารเซซามิน (Sesamin) สามารถยับยั้งการออกฤทธิ์ของ IL-1 Beta ได้ เป็นผลทำให้มีการลดลงของเอนไซม์ MMP13 ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจน และสารชีวโมเลกุลอื่นในกระดูกอ่อน ได้อย่างชัดเจน

    2. สารสกัดเซซามิน สามารถลดปริมาณการสร้าง หรือสังเคราะห์ของสารสื่ออักเสบชนิด Interleukin-1 Beta และ Tumor Necrosis Factor-Alpha ได้ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาวิจัย โดยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวด้วยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ซึ่งเป็นผลทำให้การหลั่งสารสื่ออักเสบเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้รับสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ร่วมด้วย จะทำให้มีการสร้าง และปล่อยสารสื่ออักเสบ IL-1 Beta ออกมาลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แสดงดังรูป


    จากรูปแสดงให้เห็นว่า สารสกัดงาดำ เซซามิน สามารถยับยั้งการสร้างและปล่อยสารสื่ออักเสบออกมาจากเม็ดเลือดขาว

    3. เมื่อทำการศึกษาวิจัยในอาสาสมัคร โดยให้กินแคปซูลงาดำ รำข้าวสีนิล และแป้งข้าวหอมมะลิที่ผ่านขบวนการนึ่งพิเศษ ขนาดบรรจุ 500 mg. จำนวน 2 แคปซูล ตอนเช้า และเย็น เป็นระยะเวลา 15 วัน เพื่อทำการตรวจสอบการแสดงออกของยีนส์ ที่สร้างสารชีวโมเลกุลชนิด Interleukin-2(IL-2) ซึ่งเป็นสารชีวโมเลกุลที่ผลิตขึ้นมาจากเม็ดเลือดขาว และมีคุณสมบัติที่สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของ Cytokines ทั้งสองชนิดในเลือดของอาสาสมัครทุกคน แสดงดังรูป

     สารสกัดเซซามิน (Sesamin)  คือ สารสกัดงาดำและธัญพืชสูตรที่ดีที่สุด 

    เป็นผลงานวิจัยของนักวิจัยดีเด่น ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศ ทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

    เป็นนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ ระดับโมเลกุลของไทย ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และได้ยอมรับในเชิงวิชาการ โดยการได้จดสิทธิบัตรระดับโลก สามารถจัดจำหน่ายได้กว่า 78 ประเทศทั่วโลก

    ปัจจุบันได้จดสิทธิบัตรเฉพาะประเทศ คือ ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา เป็นที่เรียบร้อย

     

     

      

  สารสกัดเซซามิน SESAMIN เหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่ต้องการลดผลข้างเคียงในระหว่างการให้คีโม หรือ ฉายแสง ทำให้เกิดอาการแพ้น้อยลง
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มภูมิคุ้มกันของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยให้ร่างกายตอบรับการรักษามะเร็ง
  • ผู้ที่ไม่สามารถใช้ คีโม หรือ ฉายแสง ในการรักษามะเร็งด้วยตัวเองได้
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ร่างกายสามารถกำจัดเนื้อร้าย ในการรักษามะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีผลข้างเคียงในการรักษามะเร็ง
  • ผู้ที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้อร้าย หรือ มะเร็ง เนื้องอก ซีส
  • ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง และ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง
  • ผู้ที่มีปัญหาเม็ดเลือดขาวตก ไม่สามารถให้คีโมได้

 


มะเร็ง....ทุกระยะมีพิษร้ายแรง
อย่ารอให้ถึงระยะสุดท้ายแล้วค่อยรักษา
ตัดสินใจช้าอาจจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของคุณ
>>>แต่มีโอกาสรอดถ้าคุณรีบตัดสินใจ

 

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com