Liver Cancer

25843 จำนวนผู้เข้าชม  | 

วิธีลดเสี่ยง_มะเร็งตับ

 

มะเร็งตับ

รู้ตัวช้า ตายไว

มะเร็งตับเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต  และเจ็บป่วยเรื้อรังจนเป็นสาเหตุการตายก่อนวัยอันสมควร  เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่  มักมาพบแพทย์เมื่อมะเร็งตับอยู่ในระยะท้ายของโรค

 

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ ไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญต่อการเกิดมะเร็งตับในประเทศไทย ตับแข็งจากสาเหตุต่างๆ ที่พบบ่อย คือ การดื่มแอลกอฮอล์


              มะเร็งตับแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ

ชนิดปฐมภูมิ :  มะเร็งของเซลล์ตับ (hepatocellular carcinoma : HCC) และ มะเร็งท่อน้ำดี
ชนิดทุติยภูมิ : เป็นมะเร็งที่กระจายมาจากตำแหน่งอื่นๆ ของร่างกาย โดยมากจะมาจากอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ลำไส้ใหญ่


             ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะมะเร็งตับชนิด (hepatocellular carcinoma : HCC) เนื่องจากเป็นโรคที่มีความสำคัญ และพบบ่อย



              อาการของมะเร็งตับ จะแบ่งเป็น 4 ระยะ

ระยะที่ 1 (Early) และ ระยะที่ 2 (Intermediate)  บางครั้งจะไม่แสดงอาการใดๆ หรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดท้อง ท้องอืดบ้าง ทำให้ผู้ป่วยสับสนคิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร

ระยะที่ 3 (Advanced) และระยะที่ 4 (Terminal) อาการของตับมีปัญหา เช่น อาการตัวเหลือง ตาเหลือง  มีภาวะท้องมานน้ำ  เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน

 



        การตรวจวินิจฉัย

         ดังกล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับมักมาพบแพทย์  เมื่ออยู่ในระยะท้ายของโรค  เนื่องจากมะเร็งตับระยะที่1 และ2 จะไม่แสดงอาการ หรือ แสดงอาการเพียงเล็กน้อย   ซึ่งการตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่เหมาะสม และมีโอกาสหายขาด  ดังนั้นการตรวจคัดกรองเพื่อเฝ้าระวังในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง  จึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง 

     วิธีการตรวจเพื่อเฝ้าระวังหรือวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ ได้แก่

  • การตรวจอัลตราซาวด์ของช่องท้องส่วนบน
  • การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (computed tomography)
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetic resonance imaging)
  • การเจาะเลือดตรวจวัดระดับAlfa-fetoprotein:AFP 

 

ซึ่งการวินิจฉัยมะเร็งตับไม่สามารถใช้การตรวจระดับAFP เพียงอย่างเดียว เนื่องจากการตรวจพบระดับAFP ที่สูงผิดปกติอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะตับอักเสบ การเจาะชิ้นเนื้อตับเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา


      การรักษา

การรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับสามารถทำได้หลายวิธี  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ขนาดของก้อนมะเร็งตับ ระยะของโรค  พยาธิสภาพของตับแข็ง และสุขภาพของผู้ป่วย

การรักษามะเร็งตับสามารถรักษาโดย

การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งตับออก (Hepatic resection)
การผ่าตัดเปลี่ยนตับ(Liver transplantation)
Transarterial Chemoembolization:TACE  คือ การฉีดยาเคมีบำบัดร่วมกับสารlipiodolผ่านเส้นเลือดแดงแขนงที่เลี้ยงก้อนมะเร็ง

มะเร็งตับหากเป็นแล้ว รักษาได้ และมีโอกาสหายขาด เพียงแต่ว่าต้องมีการค้นหามะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และมีการตรวจอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงและอายุ 40-45 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีไวรัสตับอักเสบบี หรือซีในร่างกาย  ควรตรวจคัดกรองเฝ้าระวังมะเร็งตับทุก 6-12เดือน



มะเร็งตับมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ

ดังนั้นการป้องกันมะเร็งตับ จึงสามารถทำได้ด้วยการดูแลตนเอง และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อไปนี้


1. งดสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็งที่อาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับ

2. เลี่ยงของหมัก ของดอง เพราะสารที่เกิดจากของหมักดองมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งตับที่ได้

3. เลี่ยงการทานยามากเกินไป เพราะยาเกือบทุกชนิดส่งผลต่อตับ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

4. เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนสารแอฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ก่อมะเร็งตับ ได้แก่ ถั่วลิสง พริกแห้ง พริกป่น ข้าวโพด

5. เลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ อย่างเบเกอรี่ พาย คุกกี้ แยมโรล เค้กเนยสด ครีมเทียม ฯลฯ เพราะอาหารไขมันสูงส่งผลให้ตับทำงานหนักในการสร้างน้ำดีมาย่อยอาหาร

6. ทานวิตามินรวมเสริมเพื่อช่วยบำรุงตับ แต่ควรเลือกผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ และปรึกษาแพทย์ก่อนทาน

7. ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้เสี่ยงกับโรคเบาหวาน และโรคอ้วน เพราะเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคมะเร็งตับ

8. ตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หากไม่มีเชื้อสามารถให้วัคซีนได้ หากมีเชื้อก็ควรให้แพทย์ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ

          นอกจากนี้ควรออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจเช็กสุขภาพเป็นประจำ รวมทั้งหมั่นสังเกตความผิดปกติในร่างกาย เพื่อจะได้รับมือกับมะเร็งได้อย่างทันท่วงที


 


ถ้าคุณกำลังป่วยเป็นมะเร็ง   
   กำลัง หมดหวัง ท้อแท้    
เปิดใจ ชมคลิปนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษามะเร็ง 
ทางเลือกใหม่.....ของการรักษามะเร็ง
ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง....... ไม่ให้ลุกลาม
เป็นการรักษามะเร็ง ด้วยวิธี ปลอดภัย 

 

 

ไขข้อข้องใจ    
สารสกัดเซซามิน......จากงาดำ เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง

 

 

 

หมอที่เก่งที่สุดในโลก คือ ร่างกายมนุษย์  
หมอที่เก่งที่สุดในร่างกายมนุษย์ คือ "ภูมิคุ้มกัน"
  สรุป สารสกัดเซซามิน (Sesamin)  
  เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง  

  1. เซลล์มะเร็ง คือเซลล์ที่อยู่ในร่างกายเรา ที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เซลล์มะเร็ง มีการกระจายตัว มันสามารถส่งสารไปกระตุ้นให้เส้นเลือดงอกเส้นเลือดมาที่ตัวก้อนมะเร็ง แล้วส่งอาหาร จากทางเส้นเลือดเพื่อไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง จากการศึกษา ในหลอดทดลองจากห้องแลป เซซามินไปปิดกั้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ ที่จะไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่ได้รับอาหาร
  2. เซซามิน (Sesamin) ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง IL2 ( ซึ่งสาร IL2 ตัวนี้ สหรัฐอเมริกายอมรับว่าเป็นสารที่สามารถไปยับยั้งเซลล์มะเร็งได้) ซึ่งสาร IL2 นี้แหละที่จะทำให้เม็ดเลือดขาวหรือภูมิคุ้มกันของเราทำงานได้ดีขึ้น และไปจัดการกับเซลล์มะเร็ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไปกระตุ้นบนผิวเซลล์ แล้วส่งสัญญาณเข้าไปภายในเซลล์มะเร็ง มันถูกยับยั้งโดยสารเซซามิน เป็นการอธิบายถึงกลไกภายในเซลล์วิจัยถึงระดับโมเลกุล
  3. เซซามิน (Sesamin) ยังไปทำให้เซลล์มะเร็งตาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายถูกโปรแกรมมาให้เกิดขึ้นและ มีอายุ แล้วก็จะตายไป ยกเว้นเซลล์มะเร็ง ที่มันสามารถ มีอายุและเจริญเติบโตขยายตัวได้โดยไม่มีการตายหรือไม่เข้าสู่ Program Cell Dead เซซามิน สามารถไปแก้โปรแกรมให้เซลล์มะเร็ง เข้าสู่ Program Cell Death หรือฆ่าตัวตาย

 

 

เป็นมะเร็งอาจดูน่ากลัว   
  เมื่อเป็นแล้ว อาจเสียชีวิตได้  


 วันนี้!!! ป้องกันได้ ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ แต่วันนี้วิทยาการทางการแพทย์มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง มีการใช้สารสกัดจากอาหารนำมาทานเพื่อดูแลฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกาย แต่ให้ประสิทธิผลดีกว่ายา

ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นคว้ามากว่า 20 ปี จนกระทั่งคิดค้นสารสกัดเซซามิน ที่สามารถฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายได้ เป็นครั้งแรกของโลก

 

 นักวิจัยไทย ค้นพบ

สารเซซามินในงาดำ ครั้งแรกของโลก

 

 

ข่าวการค้นพบสารเซซามินจากงาดำ เป็นผลงานวิจัยของ ม.เชียงใหม่  การค้นพบในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ถือว่าเป็นการพัฒนาไปอีกก้าวของวงการแพทย์ไทย และที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกของโลก ที่พบว่าสารเซซามิน (Sesamin) ที่พบนั้นจะไปยั้บยั้งการฟื้นฟูเซลล์จากการถูกทำลาย หรือพูดง่ายๆ ว่า มีโอกาสที่จะใช้ในการยับยั้งมะเร็งได้ด้วย

 

 สารสกัด...เซซามิน  เข้าไปทำอะไรกับ เซลล์มะเร็ง   
คลิ๊ก.....ชมคลิปนี้ !!!


 

สุดยอดงานวิจัยไทย...  

ค้นพบ 4 คุณสมบัติสำคัญ  
  เซซามิน สารสกัดจากงาดำ 

 

 

ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ นักวิจัย ม.เชียงใหม่
ค้นพบ "สารสกัดเซซามิน (Sesamin)" 

จากงาดำ....ทำลายเซลล์มะเร็ง

 

 

คณะนักวิจัยที่ค้นพบสรรพคุณ ของสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ในเมล็ดงาเมล็ดเล็กๆ นี้นำทีมโดย ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตของท่านอยู่ในห้องทดลอง เพื่อค้นคว้าหาหนทางใหม่ๆ มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

 

 

 

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการอักเสบ

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดทั้งการสังเคราะห์และลดการดูดซึมสารโคเรสเตอรอล

สารเซซามิน (Sesamin) ทำให้มะเร็งบางชนิดเข้าสู่ขบวนการทางชีวเคมีที่ทำให้เซลล์ตาย

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยยั้บยั้งการลุกลามของมะเร็งบางชนิดได้

สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นให้ร่างกายสร้างสาร IL2 และ IFN-Gramma จากเม็ดเลือดขาว

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยดูแลเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือด

สารเซซามิน (Sesamin) ทำหน้าที่ช่วยเผาผลาญกรดไขมัน

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยทำให้ วิตตามิน E ทำงานได้มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยลดอาการปวด และอักเสบบริเวณต่างๆ ของร่างกาย

สารเซซามิน (Sesamin) ลดการเสื่อมสลายของข้อกระดูก และกระดูกอ่อน

สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก

สารเซซามิน (Sesamin) ยับยั้งการดูดซึมและสังเคราะห์โคเลสเตอรอลภายในร่างกาย

สารเซซามิน (Sesamin) มีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต

สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยในการกำจัดสารพิษของตับ

สารเซซามิน (Sesamin) กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

สารเซซามิน (Sesamin) มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามินอีให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ที่ได้ทำการศึกษาที่หน่วยวิจัยมที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด
(Thailand Excellence Center for Tissue Engineering and Stem Cells) พบว่า

 

 

1. สารสกัดเซซามิน สามารถยับยั้งการทำงานของสารสื่ออักเสบ ชนิด IL-1 Beta ได้ โดยการศึกษา ได้ทำการวิจัยในเซลล์กระดูกอ่อนที่ถูกกระตุ้นด้วย IL-1 Beta และเซซามิน (Sesamin) จากนั้นทำการศึกษาระดับโมเลกุล และพบว่า สารเซซามิน (Sesamin) สามารถยับยั้งการออกฤทธิ์ของ IL-1 Beta ได้ เป็นผลทำให้มีการลดลงของเอนไซม์ MMP13 ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจน และสารชีวโมเลกุลอื่นในกระดูกอ่อน ได้อย่างชัดเจน

 

2. สารสกัดเซซามิน สามารถลดปริมาณการสร้าง หรือสังเคราะห์ของสารสื่ออักเสบชนิด Interleukin-1 Beta และ Tumor Necrosis Factor-Alpha ได้ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาวิจัย โดยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวด้วยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ซึ่งเป็นผลทำให้การหลั่งสารสื่ออักเสบเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้รับสารสกัดเซซามิน (Sesamin) ร่วมด้วย จะทำให้มีการสร้าง และปล่อยสารสื่ออักเสบ IL-1 Beta ออกมาลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แสดงดังรูป

 

จากรูปแสดงให้เห็นว่า สารสกัดงาดำ เซซามิน สามารถยับยั้งการสร้างและปล่อยสารสื่ออักเสบออกมาจากเม็ดเลือดขาว


3. เมื่อทำการศึกษาวิจัยในอาสาสมัคร โดยให้กินแคปซูลงาดำ รำข้าวสีนิล และแป้งข้าวหอมมะลิที่ผ่านขบวนการนึ่งพิเศษ ขนาดบรรจุ 500 mg. จำนวน 2 แคปซูล ตอนเช้า และเย็น เป็นระยะเวลา 15 วัน เพื่อทำการตรวจสอบการแสดงออกของยีนส์ ที่สร้างสารชีวโมเลกุลชนิด Interleukin-2(IL-2) ซึ่งเป็นสารชีวโมเลกุลที่ผลิตขึ้นมาจากเม็ดเลือดขาว และมีคุณสมบัติที่สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของ Cytokines ทั้งสองชนิดในเลือดของอาสาสมัครทุกคน แสดงดังรูป

 


 

สารสกัดเซซามิน (Sesamin)  คือ สารสกัดงาดำและธัญพืชสูตรที่ดีที่สุด 

เป็นผลงานวิจัยของนักวิจัยดีเด่น ศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศ ทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

เป็นนวัตกรรมวิทยาศาสตร์ ระดับโมเลกุลของไทย ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และได้ยอมรับในเชิงวิชาการ โดยการได้จดสิทธิบัตรระดับโลก สามารถจัดจำหน่ายได้กว่า 78 ประเทศทั่วโลก

ปัจจุบันได้จดสิทธิบัตรเฉพาะประเทศ คือ ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา เป็นที่เรียบร้อย

 

 

สารสกัดเซซามิน SESAMIN เหมาะกับใครบ้าง?  

  • ผู้ที่ต้องการลดผลข้างเคียงในระหว่างการให้คีโม หรือ ฉายแสง ทำให้เกิดอาการแพ้น้อยลง
  •  ผู้ที่ต้องการเพิ่มภูมิคุ้มกันของตัวเองให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยให้ร่างกายตอบรับการรักษามะเร็ง
  • ผู้ที่ไม่สามารถใช้ คีโม หรือ ฉายแสง ในการรักษามะเร็งด้วยตัวเองได้
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ร่างกายสามารถกำจัดเนื้อร้าย ในการรักษามะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีผลข้างเคียงในการรักษามะเร็ง
  • ผู้ที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้อร้าย หรือ มะเร็ง เนื้องอก ซีส
  • ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง และ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง
  • ผู้ที่มีปัญหาเม็ดเลือดขาวตก ไม่สามารถให้คีโมได้

 

มะเร็ง....ทุกระยะมีพิษร้ายแรง
อย่ารอให้ถึงระยะสุดท้ายแล้วค่อยรักษา
ตัดสินใจช้าอาจจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของคุณ
>>>แต่มีโอกาสรอดถ้าคุณรีบตัดสินใจ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com